คำคมจากท่านว.วชิรเมธี

วันพุธที่ 15 กันยายน พ.ศ. 2553

พรุ่งนี้ต้องดีกว่า..

ข้อคิดที่...ฝากไว้






















ความผิดหวังบอกอะไรเรา...

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความอดทน

เราสามารถเอาชนะความรุ่มร้อน และอ่อนแอได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าตั้งใจอย่างจริงจัง วันนี้ยังมีทางแก้ไขได้

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง การค้นคว้า

เราสามารถเอาชนะความเขลา และเกียจคร้านได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าจัดการกับตัวเองได้ วันนี้ยังมีทางสมหวัง

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความไม่ประมาท

เราสามารถเอาชนะความเผลอเรอ และหลงลืมได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าฝึกฝน วันนี้ยังมีทางเป็นไปได้

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง การช่วยเหลือ

เราสามารถเอาชนะความใจแคบ และมีอคติได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าเพาะความเมตตา วันนี้ยังไม่สายเกินไป

ความผิดหวัง บอกเราเรื่อง ความตั้งใจจริง

เราสามารถเอาชนะความหวั่นไหว และหวาดกลัวได้

ถึงจะยาก แต่ถ้าเริ่มต้น วันนี้ยังมีทางสำเร็จ


ขอขอบคุณ นิตยสารแม่พระยุคใหม่ ฉบับ 165

เคล็ดลับในการสร้างสมาธิในการทำงาน

เคล็ดลับในการสร้างสมาธิในการ ทำงาน

เลือกงานหิน

เลือกงานหินขึ้นมาหนึ่งงาน (ควรเป็นงานที่สำคัญที่สุดที่ต้องทำก่อน) แล้วตัดสินใจว่าจะทำให้เสร็จในรวดเดียว หรือว่าจะจำกัดเวลาเป็นเวลาเท่าไหร่ (เช่น ทำ 30 นาทีแล้วหยุดพัก)

สร้างพื้นที่การทำงาน

ก่อนเริ่มงานกำจัดทุกอย่างที่จะดึงความสนใจจากงานตรงหน้าออกให้หมด เช่น ปิดหน้าจอ ปิดมือถือเสียด้วย

เสียงเตือนตั้งนาฬิกาปลุก

หรือถ้าตั้งใจว่าจะทำไปจนกว่างานนั้นจะเสร็จ ก็พยายามทำสมาธิ อย่าพะวงเรื่องอื่นก่อนถึงกำหนดเวลา

เมื่อโดนขัดจังหวะจากงานอื่น

ถ้าเลี่ยงไม่ได้ให้จดโน้ตไว้ก่อน แล้วค่อยกลับมาจัดการทีหลัง


เกิดวอกแว่กอยู่ๆ

ดันอยากเช็คอีเมลขึ้นมา หรืออยากไปทำอย่างอื่นแทน ลองหายใจลึกๆ แล้วตั้งใจใหม่

งานด่วนเข้าแทรก

เกิดมีงานด่วนกว่าเข้ามาจริงๆ เลี่ยงไม่ได้ ก็ควรจะพยายามจดโน้ตไว้ว่าขณะนั้นทำงานมาถึงไหน ตั้งใจจะทำอะไรต่อไปก่อนโดนขัดจังหวะ แล้วจัดเก็บโน้ตนั้นกับงานไว้ด้วยกัน เมื่อกลับมาเริ่มใหม่ภายหลังจะได้ต่อติด


รีแลกซ์ด้วย

อย่าเครียดมากจนเกินไป ถ้ารู้สึกเครียดกับงานตรงหน้ามาก ให้หยุดพัก หายใจลึกๆ ยืดเส้นสายเสียหน่อย หรืออาจจะหยุดพักดื่มกาแฟ อย่าเข้มงวดกับตัวเองเกินไปนัก

ให้รางวัลหลังงานเสร็จหลังงานเสร็จ

ให้รางวัลกับตัวเองด้วยการเช็คอีเมลหรืออ่านบล็อกที่ชอบได้ ใครที่อยากมีสมาธิในการทำงาน ลองนำวิธีที่แนะนำไปปฏิบัติตามกันได้





vcharkarn


โดย :เชนคุง

ทำความว่างให้เป็น เติมความเต็มให้บังเกิด

ชีวิต ไม่มีอะไรเป็นของตน เพียงเป็นแค่ธาตุที่มาประกอบกัน
ลม ประกอบกับ ดิน (กาย)ความอบอุ่น (ไฟ) น้ำ
สิ่งเหล่านี้ มีเกิด ตั้งอยู่ เปลี่ยนแปลง และดับไป ล้วนไม่มีอะไรในที่สุด
มีแต่ความว่างเปล่า สุญญตา

การเติมเต็มด้วยสุญญตา เราสามารถเทียบว่าว่างแล้ว เราสามารถเรียก
ว่าเต็มแล้ว เต็มไปด้วยความว่างดุจเดียวกัน ความว่างและความเต็มเป็นสิ่งเดียวกัน
ดุจดั่ง หน้ามือ และหลังมือ ที่อยู่บนมือเดียวกันฉันใด
ความว่างและความเต็ม ก้อเป็นเช่นนั้นเช่นกัน

เราพึ่งไม่ยึดติดกับความว่าง หรือ ความเต็ม อย่างใด อย่างหนึ่ง
พึ่งวางเฉย ไม่ยินดียินร้ายกับ ว่างหรือเต็ม ว่างก้อเช่นนั้น เต็ม ก้อเท่านั้น
ละทิ้งซึ่งสัญญา ละทิ้งซึ่งความจำได้หมายรู้ เมื่อละสัญญาได้แล้ว
แตกดับธาตุได้แล้ว นั่นคือหนทางสู่นิพพาน

มองด้วยใจ...ใช้เมตตา

อันคนเรา...มีหลากหลาย...ให้ค้นหา
ไม่มีใคร...เลิศค่า...หรือตื้นเขิน
คนเรานั้น...มีดีชั่ว...เป็นแนวเนิน
อย่าประเมิน...คิดหมิ่น...จงเมตตา


*******************************

คนเราเกิดมาด้วยจิตใจที่ไม่เหมือนกัน คือพื้นฐานของจิต

ตอนถือปฏิสนธินั้นไม่เหมือนกัน จึงมีอุปนิสัยแตกต่างกันมาตั้งแต่เยาว์
เมื่อกระทบกับสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกันอีกก็ทำให้บุคคลแตกต่างกันไปเป็นอันมาก

การอยู่รวมกันของคนหมู่มากที่มีอุปนิสัยใจคอพื้นฐานทางใจ และการอบรมที่แตกต่างกัน
จึงมีปัญหามาก ถ้าเราถือเล็กถือน้อย ไม่รู้จักให้อภัย เราก็จะมีความทุกข์มาก

บางทีก็เกี่ยวกับช่องว่างระหว่างวัย ผู้ใหญ่อยากจะให้เด็กทำ พูด และคิดอย่างตน
ส่วนเด็กก็อยากจะให้ผู้ใหญ่ทำพูด คิด อย่างตนเหมือนกัน ซึ่งโดยทั่วๆ ไปแล้วเป็นไปไม่ได้

ฝ่ายผู้ใหญ่ควรให้อภัยว่าแกเป็นเด็ก ส่วนเด็กก็ควรให้อภัยว่าท่านแก่แล้ว
มาเข้าใจกันเสีย คือเห็นใจซึ่งกันและกัน เมื่อเป็นดังนี้เรื่องเล็กก็จะไม่กลายเป็นเรื่องใหญ่
ทุกฝ่ายอยู่กันด้วยความเห็นใจ เข้าใจ มองกันอย่างเป็นมิตร ไม่เป็นศัตรูต่อกัน




ข้อมูลจากหนังสือ ซีเคร็ต

จงเป็นฝ่ายเริ่มต้น

จงเป็นฝ่ายเริ่มต้น

พวกเราส่วนมากมักเก็บความไม่พอใจหรือความโกรธแค้นในเรื่องเล็กๆน้อยๆ
เรามักคอยให้คนอื่นมาง้อหรือขอโทษเรา
โดยเชื่อว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เราให้อภัย
หรือคงสัมพันธภาพกับครอบครัวและญาติมิตรต่อไปได้

จงเป็นคนแรกที่แสดงความรักหรือเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน
อันเกิดขึ้นจากการโต้เถียงกัน ความเข้าใจผิด การถูกเสียดสีนินทา
หรือเหตุการณ์เลวร้ายอื่นๆไว้ด้วยทิฐิ

เรามักคอยให้คนอื่นมาง้อหรือขอโทษเรา
โดยเชื่อว่านี่เป็นเพียงวิธีเดียวที่จะทำให้เราให้อภัย
หรือคงสัมพันธภาพกับครอบครัวและญาติมิตรต่อไปได้
..................................................

เพื่อนสนิทของผมซึ่งมีสุขภาพไม่ดีนักเล่าให้ผมฟังเมื่อเร็วๆนี้ว่า
เธอไม่ได้พูดกับลูกชายมาสามปีแล้ว
เมื่อผมถามว่าทำไม
เธอตอบว่าเป็นเพราะเธอกับลูกขัดแย้งกันในเรื่องเกี่ยวกับภรรยาของเขา
และเธอจะไม่พูดกับเขาจนกว่าเขาจะมาขอโทษเธอก่อน

เมื่อผมแนะนำว่าเธอควรเป็นฝ่ายเริ่มต้นก่อน
เธอก็ยังยืนยันความคิดเดิมและบอกเพียงว่า
"ฉันทำเช่นนั้นไม่ได้โดยเด็ดขาด ลูกควรเป็นคนมาขอโทษฉัน"
เธอยอมตายเสียดีกว่าที่จะเป็นฝ่ายลดตัวไปง้อลูกชายเพียงคนเดียวของเธอ

อย่างไรก็ดี หลังจากได้ฟังคำแนะนำอย่างสุภาพของผมต่อไปอีกสักครู่
เธอก็ตัดสินใจยอมเป็นฝ่ายเริ่มต้น
และเธอก็รู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่งเมื่อพบว่า
ลูกชายรู้สึกดีใจมากที่เธอโทรศัพท์ไปหา
และได้กล่าวขออภัยจากเธอด้วยตนเอง

ดังเช่นกรณีอื่นๆ ที่เกิดขึ้นเสมอ
เมื่อมีใครสักคนยอมลดทิฐิลงและเป็นฝ่ายเริ่มต้น
ทุกคนย่อมเป็นฝ่ายชนะ

เมื่อใดก็ตามที่เรายอมให้ความโกรธเข้าครอบงำ
เราได้เปลี่ยนเรื่องเล็กน้อยให้กลายเป็นเรื่องใหญ่ในใจของเราเองอย่างแท้จริง
และทำให้คิดว่าเรื่องของศักดิ์ศรีสำคัญยิ่งกว่าความสุข

ที่จริงแล้วไม่ได้เป็นเช่นนั้น หากต้องการเป็นคนเยือกเย็นยิ่งขึ้น
ท่านต้องเข้าใจว่าการเป็นฝ่ายถูกเกือบจะไม่สำคัญไปกว่า
การปล่อยให้ตัวเองมีความสุขสงบอย่างแท้จริงในจิตใจ

และวิธีที่จะทำให้มีความสุขได้ก็คือ
ปล่อยให้เรื่องไร้สาระผ่านเลยไปและยอมเป็นฝ่ายเริ่มต้น
ลองปล่อยให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายถูกเสียบ้าง

นี่ไม่ได้หมายความว่าท่านเป็นฝ่ายผิด
แต่ทุกอย่างจะผ่านพ้นไปอย่างราบรื่นยิ่งขึ้น
และท่านจะได้รับประสบการณ์ความสงบสุข
อันเกิดจากการปล่อยให้สิ่งจุกจิกกวนใจผ่านเลยไป
เช่นเดียวกับการปล่อยให้คนอื่นเป็นฝ่ายถูกเสียบ้าง

ท่านยังจะได้สังเกตเห็นอีกว่า
คนอื่นจะลดปฏิกิริยาต่อต้านลงและยอมรับท่านมากขึ้น
หรือแม้แต่ยอมเป็นฝ่ายงอนง้อท่านก่อน

แต่ในบางกรณีหากพวกเขาไม่ได้ทำเช่นนั้นก็ไม่เห็นจะเป็นไร
เพราะท่านยังคงเกิดความพอใจที่ได้ทำหน้าที่ส่วนของท่าน
ในการเสริมสร้างโลกให้มีความรักและการให้อภัยต่อกันยิ่งขึ้น
และในเวลาเดียวกันตัวท่านเองจะรู้สึกสุขสงบมากยิ่งขึ้น


จาก Don't sweat the small stuff… and it's all small stuff 100
( ข้อคิดเพื่อชีวิตสุขสงบ) RICHARD CARLSON, PH.D. เขียน
ผศ. ดร. ปริญญ์ ปราชญานุพร แปลและเรียบเรียง

ข้อคิดจากนิทาน

ไม่ควรติเตียน

ไม่ควรติเตียน
ยอดคำสอนของหลวงปู่มั่น ภูริทัตโต



“การตำหนิติเตียนผู้อื่น
ถึงเขาจะผิดจริง ก็เป็นการก่อกวนจิตใจตนเอง
ให้ขุ่นมัวไปด้วยการกล่าวโทษผู้อื่น
โดยขาดการไตร่ตรอง

เป็นการสั่งสมโทษและบาปใส่ตนให้ได้รับความทุกข์
จึงควรสลดสังเวชต่อความผิดของตน
งดความเห็นที่เป็นบาปภัยแก่ตนเสีย

ผู้เห็นคุณค่าของตัว จึงควรเห็นคุณค่าของผู้อื่น
ผู้มีปัญญาซึ่งมีธรรมเป็นเครื่องอยู่
มีความพากเพียรแยกกิเลสให้หมดไป
จะไม่เกียจคร้าน ขยันหมั่นเพียร ทั้งกลางวันและกลางคืน

ใครผิดถูกชั่วดีก็ตัวเขา
ใจของเราเพียรระวังตั้งถนอมอย่าให้อกุศลวนมาตอม
ควรถึงพร้อมบุญกุศล ผลสบาย”



โดย :จิ้มจุ่ม ( สมาชิกไอดีที่ 124883) โพสเมื่อ [ วันอังคาร ที่ 14 กันยายน 2553 เวลา 15:35 น.]

10 วิธีการทำบุญแบบฉลาดโดยไม่ต้องสละเงินก็เป็นบุญได้เหมือนกัน

10 วิธีการทำบุญแบบฉลาดโดยไม่ต้องสละเงินก็เป็นบุญได้เหมือนกัน

กิจกรรมสันทนาการ หากคุณเป็นนักกิจกรรมเก่ามาก่อน ลองหาเวลาไปทำกิจกรรมสันทนาการกับเด็กๆ ตามสถานสงเคราะห์ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นการเล่นเกม วาดภาพ เล่านิทาน ถือเป็นการให้ความบันเทิงและสาระแก่เด็กๆ ด้อยโอกาส

สันทนาการกับผู้ใหญ่ หากคุณมีความสามารถในการแสดง บันเทิงหรือสาระที่เป็นประโยชน์สามารถติดต่อเจ้าหน้าที่เรือนจำเข้าไปแสดงได้ จะได้เป็นการช่วยผ่อนคลายความเครียดและความซึมเศร้าอันเกิดจากการถูกจองจำเพราะใช่แต่ว่าจะมีเด็กเท่านั้นที่ชอบสันทนาการ ผู้ใหญ่ก็ชอบเหมือนกัน

เยี่ยมคนชรา ไม่มีใครที่ไม่แก่ การไปเยี่ยมคนแก่หรือแม้แต่นำอาหารไปเลี้ยงท่านเหล่านั้นที่บ้านพักคนชรา ถือเป็นการทำบุญและเป็นการให้สติตัวเองไปด้วยในตัว โดยเฉพาะอย่างยิ่งให้สติปัญญาว่าคนเราต้องแก่เฒ่าหน้าเหี่ยวย่น

ครูข้างถนน เป็นอีก 'บุญ' หนึ่งที่คุณสามารถทำได้ อย่างน้อยก็ช่วยให้เด็กข้างถนนคนหนึ่งมีเพื่อนมีคนที่รับฟังและพร้อมจะเข้าใจเขา

บริจาคเสียง เป็นบุญอีกวิธีหนึ่ง คือการอ่านหนังสือออกเสียงบันทึกใส่เทปในห้องสมุดเสียง อันนี้เป็นโครงการที่มีอยู่แล้วของมูลนิธิคอลฟิลด์เพื่อคนตาบอด สำหรับคนตาบอดเลือกฟังในห้องสมุดเพื่อคนตาบอด

อาสาสมัครในวัด หากมีเวลาว่างและอยากบริหารเวลามาใช้ในงานบุญบ้าง ลองหันไปเป็นอาสาสมัครให้กับวัดที่ทำงานพัฒนาให้กับชุมชน เช่นวัดที่ดูแลเลี้ยงเด็กกำพร้า วัดที่ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ หรือไม่ก็อาสาสมัครไปช่วยงานพัฒนาชุมชน

ทำความดีกับคนรอบข้าง พ่อแม่ พี่น้อง ลูกหลาน มักเป็นบุคคลที่เราละเลยไปโดยไม่ตั้งใจ การหันกลับมาดูแลเอาใจใส่ก็เป็นอีกบุญหนึ่งที่สามารถทำได้ง่าย คนเราเมื่อเจอกันทุกวันมักไม่เห็นคุณค่าของกันและกัน จนวันหนึ่งต้องจากไปนั่นแหละจึงทำดีให้กันในวาระสุดท้าย ทำไมเราไม่ทำดีให้กันตั้งแต่ยังมีลมหายใจอยู่

แนะนำพร่ำสอนความดีให้กัน คนเป็นพ่อแม่ที่มีความรับผิดชอบก็เป็นบุญอีกวิธีหนึ่ง พ่อแม่ที่ดีคือ พ่อแม่ที่มีเวลาให้ลูกสม่ำเสมอ ดูแลเอาใจใส่ความเป็นไปของลูกๆ อย่างพอเหมาะพอดีไม่ปล่อยทิ้งตามยถากรรมหรือบังคับขู่เข็ญจนเกินเหตุ สอนให้ลูกรู้จักความรับผิดชอบ ช่วยเหลือตัวเองได้ มั่นใจในตัวเองดีพร้อมกับสอนให้ลูกได้เรียนรู้เรื่องกตัญญูกตเวที และที่ไม่ควรลืม คือ สอนให้ลูกนึกถึงส่วนรวม รับผิดชอบต่อสังคมและเอื้อเฟื้อแบ่งปันแก่คนรอบข้าง

ตอบแทนความดี ปรับความเข้าใจ ความดีที่เราได้รับมาจากผู้อื่นเป็นหนี้ความดีที่ค้างชำระ การตอบแทนความดีต่อผู้มีอุปการะ นอกจากจะเป็นการแสดงความกตัญญูรู้คุณแล้วยังเป็นบุญอยู่ในตัวเอง เป็นการสร้างสัมพันธ์ในบุญให้เหนียวแน่นยิ่งขึ้นระหว่างเรากับเขาผู้อุปการะ และเช่นกันในความขุ่นข้องหมองใจบางอย่างก็เป็นหนี้กรรมค้างชำระได้ การปรับความเข้าใจ เผยความในใจกับคนที่เคยมีเรื่องไม่พอใจกันก็ถือเป็นเรื่องการทำบุญ

เรียนรู้และเข้าใจเขา ให้ความรัก ความเมตตา ความเข้าใจและการยอมรับต่อบุคลผู้ติดเชื้อHIV (มีรายงานล่าสุดว่าขณะนี้ประเทศไทยมีผู้ติดเชื้อ HIV 1ล้านคน) รวมทั้งบุคคลที่ได้รับความกดดันจากสังคมในรูปแบบอื่นๆเช่น คนที่เพิ่งออกจากเรือนจำ คนชรา ผู้หญิง เด็ก คนกลุ่มน้อยทางเชื้อชาติ ตลอดจนผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง ศาสนาและเรื่องเพศ

หากเราพิจารณาอย่างถ่องแท้จะเห็นว่า 10 วิธีการทำบุญแบบฉลาดนี้ พุทธศาสนิกชนชาวไทยทุกคนเคยทำแล้ว เพียงแต่เราไม่รู้ว่านี่คือการทำบุญ เพราะเรามักคุ้นเคยกับการทำบุญแบบเสียเงิน จนคิดว่าการทำบุญมีแต่เฉพาะเรื่องการให้ทาน


โดย :พิกกี้โกะ ( สมาชิกไอดีที่ 10809) โพสเมื่อ [ วันจันทร์ ที่ 13 กันยายน 2553 เวลา 14:52 น.]

วันจันทร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2553

จริงอยู่~ ~ (-`๏’•ิ__•ิ`๏’-)~ ~

- จริงอยู่ ที่มิตรภาพไม่มีวันหมด แต่คุณอาจลืมไปว่า มันเปลี่ยนแปลงได้

- เมื่อคุณตระหนักว่า ไม่มีใครช่วยคุณ ในเวลาที่คุณมีความทุกข์ ไม่มีใครดีใจ อย่างจริงใจกับคุณ ยามเมื่อคุณมีความสุข เมื่อนั้นคุณ เรียนรู้ที่จะหาเพื่อนแท้ให้กับชีวิตคุณได้แล้ว

- อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านมาแล้ว ปล่อยความเจ็บปวด ความทรมานที่ได้ ประสบผ่านไปกับอดีตด้วย

- อย่าละเลยและเพิกเฉยต่อใคร ทุกคนมีความสำคัญเท่าเทียมกัน

- คุณไม่ได้ตายจากความเจ็บปวดในชีวิตที่ผ่านมา แต่มันทำให้คุณ เข้มแข็งขึ้น

- อย่าให้ชีวิตขึ้นกับคนอื่น เพื่อทำให้คุณมีความสุข

- ชีวิตแต่งงานและครอบครัว เป็นเรื่องที่สำคัญ จงอย่ารีบร้อนใน การตัดสินใจ

- แสดงความชื่นชมกับคนที่คุณรักและห่วงใย ในทุก ๆ วันไม่ใช่แค่วัน หยุดหรือวันเกิด


ถ้าคุณยืมมา (จงคืน)
ถ้าคุณทำพัง (จงซ่อม)
ถ้าคุณรู้แล้ว (ปล่อยมัน)
ถ้าคุณต้องการ (ร้องขอ)
ถ้าคุณใช้ (ทำให้สะอาด)
ถ้าคุณใส่ (แขวนไว้ที่เดิม)
ถ้าคุณทำผิดพลาด (แสดงความรับผิดชอบ)
ถ้าคุณเชื่อ (คุณจะประสบความสำเร็จ)
ถ้าเป็นเจ้าของ( จงปกป้อง)
ถ้ามี (จงแบ่งปัน)
ถ้าคุณรักใครสัก คน (จงแสดงออก)


- ผู้คนผ่านเข้ามาในชีวิตของคุณ ทั้งด้วยเหตุผลและด้วยโอกาสซึ่งนำพาทั้ง ความสุขและบทเรียนมาให้คุณ

- เมื่อใดก็ตามที่ผิดหวัง จงมองโลกในแง่ดีเข้าไว้


- อย่างน้อยที่สุด ก็มีคนที่รักคุณอย่างจริงใจ นั่นคือพ่อแม่ของคุณเอง -



~ ไม่มีพรุ่งนี้ ทุกวินาที ฉันรู้อยู่ ทุกๆ นาที ต่างมีความสำคัญ จะทำตอนนี้ดีๆ~


นำมาจาก...http://www.bloggang.com/mainblog.php?id=kwanchat-18&month=30-08-2010&group=3&gblog=17

วันอังคารที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2553

- ข้อคิดดีๆ ที่ทำให้เรามีความสุข -

1.นึกไว้เสมอว่าการโกรธ 1 นาที จะทำให้ความทุกข์อยู่กับคุณ 3 ชั่วโมง

2.ถ้ายิ้มให้กับคนที่อยู่ในกระจก รับรองว่าเขาต้องยิ้มกลับมาทุกครั้งแน่

3.ลองปลูกต้นไม้เองสักต้น การเติบโตของมันจะบ่งบอกตัวตนของคุณได้

4.หลับตานิ่งๆสักสามนาที เมื่อรู้สึกว่าอะไรที่อยู่ตรงหน้ามันช่างยากเหลือเกิน

5.ระหว่างแปรงฟัน ฮัมแพลงด้วยจนจบ จะทำให้ฟันสะอาดขึ้นสองเท่า

6.เคี้ยวข้าวแต่ละคำให้ช้าลง จากที่รสชาดธรรมดา ก็จะอร่อยขึ้นเยอะเลย

7.ไม่ว่าผมจะสั้นหรือยาวแค่ไหน ก็ต้องการให้หวีอย่างถนุถนอมเหมือนกันหมด

8.การขึ้นลงบันใดสูงๆ แบบไม่ให้เมื่อย คือการไม่นับว่ากำลังยืนอยู่บันใดขั้นที่เท่าไร

9.คนตาบอดจะเห็นว่าคุณสวย/หล่อมากๆทันที ที่คุณถามเขาว่า "ช่วยพาข้ามถนนไหมคะ/ครับ?"

10.เมื่อจะหยิบเศษเงินให้ขอทาน ไม่จำเป็นต้องนับก่อนที่หย่อนลงกรป๋องหรอก

11.ควรหัดพูดคำว่า "ไม่เป็นไร" ให้เคยปากมากกว่าการพูดคำว่า "จะเอายังไง"

12.ลองตั้งนาฬิกาให้เร็วขึ้น 15 นาที รับรองว่าจะไม่ค่อยไปสายเหมือนก่อน

13.สัตว์เลี้ยงที่บ้านเก็บความลับเก่ง เรื่องที่ไม่อยากให้ใครรู้จึงควรเล่าให้มันฟัง

14.อาหารที่ไม่ชอบกินตอนเด็ก ลองตักเข้าปากอีกที เผื่อจะกลายเป็นอาหารจานโปรด

15.เขียนชื่อคนที่เกลียดใส่กระดาษแล้วฉีกทิ้ง ความเกลียดจะเบาบางลงเรื่อยๆ

16.ให้ปล่อยให้น้ำตาไหลโดยไม่ต้องเช็ด เมื่อน้ำตาแห้งแล้วแทบดูไม่ออกว่าเพิ่งร้องให้

17.ตุ๊กตาและของเล่นเก่าๆ จะทำให้เรายิ้มได้เสมอเมื่อไปหยิบมาเล่นอีกครั้ง

18.ก่อนจะซื้ออะไรก็ตาม ต้องคิดหาประโยชน์ของมันให้ได้อย่างน้อยสามข้อก่อน

19.ถึงเสื้อกางเกงในตู้จะมีอยู่น้อย แต่ถ้าใส่สลับกันไปเรื่อยๆ ก็ดูเหมือนมันมีเยอะเอง

20.ซาลาเปา 1 ลูกกินได้ 2 คน ลูกชิ้นปิ้ง 1 ไม้กินได้ 4 คนถ้าคุณคิดจะแบ่งเท่านั้นเอง
21.เลือกให้ของขวัญคนที่ไม่เคยได้ดีกว่า ให้คนที่ได้เยอะจนจำชื่อคนที่ให้ไม่ได้

22.ในวันที่รู้สึกเศร้าๆ เหงาๆ เดินไปซื้อดอกไม้ให้ตัวเองสักดอกก็จะดีขึ้น

23.แอบรักใครสักคน ยังไงก็ยังดีกว่าไม่เคยรู้ว่าความรู้สึกรักมันเป็นอย่างไร

24.ถึงจะไม่ออกไปไหน แต่ไม่ได้หมายความว่าจะแต่งตัวสวยๆ หล่อๆ ไม่ได้นิ

25.ฝึกโรแมนติกง่ายๆ คนเดียวบ้าง ด้วยการนั่งนับดาวให้ครบ 100 ดวงก่อนนอน

26.ถ้าคุณเช็ดกระจกที่ขุ่นมัวที่สุดจนใสได้ ทำไมคุณจะเรียนดีกว่านี้ไม่ได้

27.พยายามอ่านหนังสือทุกชนิดในมือให้จบเล่ม มันอาจจะไม่สนุกแต่ก้มีประโยชน์แฝงอยู่

28.วันที่ตื่นเช้าๆ ให้บิดขี้เกียจนานที่สุดเท่าทีจะนานได้ ถ้าขี้เกียจออกกำลังกาย

29.แค่เอาข้าวที่กินไม่หมดไปให้หมาที่เดินผ่าน ก็เป็นการทำบุญที่ไม่ต้องลงทุนแล้ว

30.ปิดไฟดวงที่ไม่จำเป็นในบ้าน แม่จะได้มีค่าขนมเพิ่มขึ้นอีกหลายบาท

ข้อคิดในการใช้ขีวิต

1. อย่าทำลายความหวังของใครเพราะเขาอาจเหลืออยู่แค่นั้นก็ได้
2. เมื่อมีคนเล่าว่าตัวเขามีส่วนในเหตุการณ์สำคัญอะไรก็ตามเราไม่ต้องไปคุยทับปล่อยเขาฟุ้งไปตามสบาย
3. รู้จักฟังให้ดี โอกาสทองบางทีมันก็มาถึงแบบแว่ว ๆเท่านั้น
4. หยุดอ่านคำอธิบายสถานที่ทางประวัติศาสตร์ซึ่งอยู่ตามริมทางเสียบ้าง
5. จะคิดการใดจงคิดการให้ใหญ่ๆเข้าไว้แต่เติมความสุขสนุกสนานลงไปด้วยเล็กน้อย
6. หัดทำสิ่งดี ๆให้กับผู้อื่นจนเป็นนิสัยโดยไม่จำเป็นต้องให้เขารับรู้
7. จำไว้ว่าข่าวทุกชนิดล้วนถูกบิดเบือนมาแล้วทั้งนั้น
8. เวลาเล่นเกมกับเด็ก ๆ ก็ปล่อยให้แกชนะไปเถิด
9. ใครจะวิจารณ์เรายังไงก็ช่าง ไม่ต้องไปเสียเวลาตอบโต้
10. ให้โอกาสผู้อื่นเป็นครั้งที่ "สอง"แต่อย่าให้ถึง"สาม"
11. อย่าวิจารณ์นายจ้างถ้าทำงานกับเขาแล้วไม่มีความสุขก็ลาออกซะ
12. ทำตัวให้สบาย อย่าคิดมาก ถ้าไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายแล้วอะไร ๆมันก็ไม่ได้สำคัญอย่างที่คิดไว้ทีแรกหรอก
13. ใช้เวลาน้อย ๆ ในการคิดว่า "ใคร" เป็นคนถูกแต่ใช้เวลาให้มากในการคิดว่า "อะไร" คือสิ่งที่ถูก
14. เราไม่ได้ต่อสู้กับ "คนโหดร้าย" แต่เราต่อสู้กับ "ความโหดร้าย" ในตัวคน
15. คิดให้รอบคอบก่อนจะให้เพื่อนต้องมีภาระในการรักษาความลับ
16. เมื่อมีใครสวมกอดคุณ ให้เขาเป็นฝ่ายปล่อยก่อน
18. เป็นคนถ่อมตนคนเขาทำอะไรต่ออะไรสำเร็จกันมามากมายแล้วตั้งแต่เรายังไม่เกิด
19. ไม่ว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์อันเลวร้ายเพียงใด...สุขุมเยือกเย็นเข้าไว้
20. อย่าไปหวังเลยว่าชีวิตนี้จะมีความยุติธรรม
21. อย่าให้ปัญหาของเราทำให้คนอื่นเขาเบื่อหน่ายถ้ามีใครมาถามเราว่า "เป็นยังไงบ้างตอนนี้" ก็บอกเขาไปเลยว่า "สบายมาก"
22. อย่าพูดว่ามีเวลาไม่พอ เพราะเวลาที่คุณมีมันก็วันละยี่สิบสี่ชั่วโมงเท่าๆกับที่ หลุยส์ ปาสเตอร์ , ไมเคิลแอนเจลโล , แม่ชีเทเรซา,ลีโอนาร์โด ดา วินชี, ทอมัส เจฟเฟอร์สัน หรืออัลเบิร์ต ไอสไตน์ เขามีนั่นเอง
23. เป็นคนใจกล้าและเด็ดเดี่ยวเมื่อเหลียวกลับไปดูอดีตเราจะเสียใจในสิ่งที่อยากทำแล้วไม่ได้ทำมากกว่าเสียใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว
24. ประเมินตนเองด้วยมาตรฐานของตัวเอง ไม่ใช่ด้วยมาตรฐานของคนอื่น
25. จริงจังและเคี่ยวเข็ญต่อตนเอง แต่อ่อนโยนและผ่อนปรนต่อผู้อื่น
26. อย่าระดมสมอง เพราะไอเดียดี ๆ ใหม่ ๆ และยิ่งใหญ่จนสามารถเปลี่ยนแปลงโลกได้ล้วนมาจากบุคคลที่คิดค้นอยู่แต่เพียงผู้เดียวทั้งสิ้น
27. คงไว้ซึ่งความเป็นคนเปิดเผย อ่อนโยน และอยากรู้อยากเห็น
28. ให้ความนับถือแก่ทุกคนที่ทำงานเพื่อเลี้ยงชีพ ไม่ว่างานที่เขาทำนั้นจะกระจอกงอกง่อยสักปานใด
29. คำนึงถึงการมีชีวิตให้ "กว้างขวาง" มากกว่าการมีชีวิตให้ "ยืนยาว"
30. มีมารยาทและอดทนกับคนที่สูงวัยกว่าเสมอ คุณทำอย่างนั้นอยู่หรือเปล่า?

เงิน หรือ ความเอาใจใส่ มีค่ามากกว่ากัน




นิค วูจิซิค คนพิการหัวใจนักสู้

คุณค่าของการมีชีวิตอยู่

วันจันทร์ที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2553

พวกเธอไม่ยอมแพ้นะ แล้วคุณละ ?

ระหว่าง "คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา" เราควรจะเลือกใครดี

ระหว่าง "คนที่เรารัก" กับ "คนที่รักเรา" เราควรจะเลือกใครดี
คนที่เรารัก.....คือคนที่ใช่สำหรับเรา
แต่บางครั้ง.....เรากลับรู้สึกว่าเขาไม่ใช่
คนที่เรารัก.....คือคนที่เราคิดว่าเรารู้จักเขาดี
แต่แท้จริงแล้ว....เรากลับไม่รู้จักเขาเลย
คนที่เรารัก......คือคนที่เราพร้อมจะเป็นผู้ให้
แต่สิ่งที่เราให้.....เขากลับไม่เคยมองเห็นสิ่งที่เราให้ไป
คนที่เรารัก........คือคนที่เราอยู่ด้วยเวลามีความสุข
แต่เวลาเราทุกข์.....เรากลับมองหาเขาไม่เจอ
คนที่เรารัก....คือคนที่เราใส่ใจทุกเวลา
แต่ที่แย่กว่าคือ.....ตลอดมาเขาไม่ได้ "รักเรา"
…………………………………………………………….
คนที่รักเรา.......คือคนที่เราเพียงมองผ่าน
แต่เขา.....กลับมองเราอย่างใส่ใจ
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่พยายามทำความรู้จัก
แต่เขา.....กลับพยายามทำความรู้จักเรา
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยให้ความสำคัญมากมาย
แต่เขา.....กลับให้ในสิ่งที่ล้วนมีค่ามีความสำคัญกับเรา
คนที่รักเรา......คือคนที่เราไม่เคยเห็นหน้าเวลาสุข
แต่เวลาทุกข์......เขากลับเป็นเหมือนเงาคอยเฝ้าตาม
คนที่รักเรา.....คือคนที่เราไม่เคยนึกถึง
แต่มีสิ่งหนึ่ง.....บอกให้รู้ว่า......"เขารักเรา"

ข้อคิดดีๆ สำหรับคุณ

วันคืนล่วงไปๆ เรากำลังทำอะไรอยู่




ขณะที่เราอยู่อย่างนี้ เวลาไม่เคยรอใคร เวลาผ่านไปๆ ทุกขณะๆ
วันคืนล่วงไปๆ ความตายเข้ามาใกล้ทุกขณะๆ จงพิจารณาดูชีวิต
ของตนว่า"เรากำลังทำอะไรอยู่ สร้างประโยชน์ให้กับตนเอง
และต่อผู้อื่นแล้วหรือยัง สร้างประโยชน์ปัจจุบัน ประโยชน์ข้างหน้า
ประโยชน์สูงสุดแล้วหรือยัง" คนเราตั้งแต่เกิดมาจนทุกวันนี้
ดิ้นรนแสวงหาความสุขกันทุกคน แต่มีใครบ้างได้พบความสุขที่แท้จริง
หรือพอใจในชีวิตของตนจริงๆชีวิตของเราทุกวันนี้มันแข่งกับเวลา
รีบร้อนตลอดเวลา แม้แต่เวลานอนก็ยังรีบร้อนอยู่ คิดนี่ คิดโน่น
คิดไปทั่วทุกสารทิศทั้งใกล้ทั้งไกล รีบร้อนแสวงหาความสุข
แต่ชีวิตเราสังคมเราดูๆ เหมือนจะสับสนวุ่นวาย ความเดือดร้อน
รุนแรงมากขึ้นๆ ทุกวัน มนุษย์เราค้นคว้าหาความรู้มากขึ้นๆ
วิทยาศาสตร์ คณิตศาสตร์ ประวัติศาสตร์ สังคมศาสตร์ ภูมิศาสตร์
มนุษย์ศาสตร์ แพทย์ศาสตร์ นิติศาสตร์ รัฐศาสตร์ ฯลฯ
ศาสตร์เหล่านี้ก็เปลี่ยนไปเรื่อยๆ ตามกาล ตามเหตุปัจจัย ทุกปีๆ
คนเราส่วนใหญ่วิ่งตามแต่ตามไม่ทัน หมดแรง หมดหวัง
สับสนวุ่นวายศาสตร์เหล่านี้ไม่เคยช่วยเราให้มีความสุขที่แท้จริงได้

ศาสตร์หนึ่งที่พวกเรามองข้ามไปคือ พุทธศาสตร์ นั่นเององค์
สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าซึ่งเป็นพระบรมครูของเรา
ตรัสรู้มา เป็นเวลา 2583 ปี ก่อนโน้น พวกเราจำนวนมาก
มักจะดูหมิ่นดูถูกมองข้ามไป เห็นว่าเป็นเรื่องเก่าแก่ล้าสมัย
แต่ความจริง คำสั่งสอนของพระองค์นั้น เป็นสัจจะความจริง
ม่เปลี่ยนตามกาล ใครประพฤติปฏิบัติถูก และเข้าไปรู้เข้าไปสัมผัส
แล้วก็จะเหมือนกัน รู้แล้วก็ทั้งตื่นและเบิกบานใจมีความสุข
จนแม้กระทั่งความสุขอย่างยิ่ง ตามที่ท่านกล่าวไว้ว่า.....

"นิพพานัง ปรมัง สุขัง พระนิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง"

พระอาจารย์มิตซูโอะ

การอยู่ร่วมกันในสังคม